สินค้าราคาพุ่งไม่หยุด!! น้ำมันถั่วเหลือง-เหล้า-เบียร์-ชูกำลัง เตรียมปรับขึ้น 10-30%
สินค้าราคาพุ่งไม่หยุด เมื่อน้ำมันถั่วเหลือง-เหล้า-เบียร์-เครื่องดื่มชูกำลัง เตรียมปรับขึ้นราคาอีกครั้งในประมาณ 10-30%
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำมันพืชเพื่อการบริโภค พบว่า อยู่ในภาวะสต็อกเริ่มตึงตัว และราคาปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงส่งผลต่อราคาขายส่งขายปลีกน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อใช้ในครัวเรือนมีราคาสูงขึ้น โดยราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มบรรจุขวด (1 ลิตร) เกิน 60 บาท และบางพื้นที่สูงถึง 70 บาท ขณะที่ราคาถั่วเหลืองเริ่มเกิน 55 บาท และบางพื้นที่สูงถึง 58-59 บาทแล้วหรือปรับขึ้นประมาณ 10% ต่อขวด ซึ่งเป็นราคาที่ขยับต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จึงทำให้ขณะนี้โมเดิร์นเทรดใช้การจำกัดจำนวนการซื้อไม่เกิน 2-6 ขวดต่อครอบครัว
ตอนนี้น้ำมันถั่วเหลืองอยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น สาเหตุสะสมมาตั้งแต่การที่ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและจำนวนวางขายในตลาดลดลง ทำให้ประชาชนหรือพ่อค้ารายย่อยเปลี่ยนไปใช้น้ำมันถั่วเหลืองที่มีราคาถูกกว่าแทน แต่เมื่อสถานการณ์ราคาปาล์มยังสูง สต็อกปาล์มไม่ได้เพิ่มมาก และจิตวิทยาจากสถานการณ์การโจมตียูเครนของสหรัฐ อาจกระทบต่อปริมาณถั่วเหลืองโลกลดลง ซึ่งไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลือง เพื่อสกัดเป็นน้ำมันและเป็นส่วนผสมหนึ่งในอาหารสัตว์
แต่ก็อยากตั้งข้อสังเกตและให้ภาครัฐตรวจสอบว่ามีการบิดเบือนตลาดทั้งในแง่กักตุนวัตถุดิบ กักตุนสินค้า เพื่อเก็งกำไรและปั่นราคาตลาดให้สูงเกินความเป็นจริงหรือไม่ ปล่อยไปอย่างนี้ไม่นานจะเกิดวงจรสินค้าขาดราคาแพง อยากให้ป้องกันก่อนเกิดปัญหา เหมือนกรณีเนื้อหมู ที่พบว่ามีสต็อกมากแต่ไม่มีขายในตลาด ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มและถั่วเหลืองได้จำกัดการจัดส่งถึงร้านค้าแล้ว แม้จะยังมีขายแต่ไม่ได้เท่าเดิม
ขณะเดียวกันได้มีผู้ผลิตในหลายสินค้าแจ้งจะมีการปรับเพิ่มราคาขายส่งแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ อาทิ เครื่องดื่มประเภทเหล้าและเบียร์ ขอขึ้น 20-30 บาทต่อลัง (12 ขวด) บางยี่ห้อขึ้นขวดละ 5 บาท เช่น เบียร์จากขวดละ 65 บาท เป็น 70 บาท เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อยอดนิยมขอปรับ 2 บาทต่อขวด หรือ ปรับจาก 10 บาท เป็น 12 บาท หรือปรับขึ้นถึง 20% เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคมนี้
แม้รัฐบาลมีการต่อโครงการคนละครึ่งเฟส 4 จะมีความคึกคักแค่ระยะแรกๆของการต่อโครงการ ซึ่งอาจเป็นเพราะวงเงินที่ได้รับน้อยกว่าครั้งก่อนๆ และเป็นเรื่องที่น่ากังวล หากรัฐไม่มีการเติมเงินให้ประชาชน กำลังซื้อก็จะไม่มี รัฐก็ต้องเติมเงินต่อเนื่อง เรื่องนี้ตนได้เสนอมาตลอดว่า รัฐควรปรับจากการแจกเงิน เป็นการสนับสนุนด้านการสร้างอาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้
cr : มติชน